ศิษย์ในศตวรรษที่ ๒๑
คำถามของครูในยุคนี้ส่วนใหญ่คือ
เราจะพบกับศิษย์แบบไหน จะมีลักษณะเป็นอย่างไรในอนาคต ซึ่งครูในศตวรรษที่21 นี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้และเข้าใจศิษย์ในศตวรรษที่ 21 นี้ด้วย ในปัจจุบันเราจะเรียก คนยุคเจนเนอเรชัน (Generation Z) เป็นพวกที่ชอบใช้อินเทอร์เนต หรือที่เรียกกันว่า
เป็นชาวเน็ต(netizen)
การศึกษาในครั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์ในการเอาไปใช้ในการออกแบบการเรียนรู้
ลักษณะอย่างหนึ่งของศิษย์ไทยคือ เกือบครึ่งหนึ่งเป็นคนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่
เพราะพ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกหมู่บ้านเป็นเวลานาน ๆ ทิ้งลูกไว้กับปู่ย่า หรือตายาย
เด็กบางคนไม่มีพ่อแม่เพราะพ่อแม่ตายไปแล้ว หรือพ่อแม่หย่าร้าง ต้องอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือบางคนเป็นลูกติดแม่โดยที่แม่แต่งงานใหม่และมีลูกกับสามีใหม่
เป็นความท้าทายต่อครูเพื่อศิษย์ที่จะช่วยให้ความอบอุ่น ความรักแก่เด็กที่ขาดแคลนเหล่านี้
และยังได้ระบุหลักการหรือปัจจัยสำคัญด้านการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ ไว้ ๕ ประการคือ
๑. Authentic learning : การเรียนรู้ที่แท้จริงอยู่ในโลกจริงหรือชีวิตจริง
การเรียนวิชาในห้องเรียน
ยังไม่ใช่การเรียนรู้ที่แท้จริง ยังเป็นการเรียนแบบสมมติ
ดังนั้น ครูเพื่อศิษย์จึงต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์ได้เรียนในสภาพที่ใกล้เคียงชีวิตจริงที่สุด
๒. Mental model building : การเรียนรู้วิธีการนำเอาประสบการณ์มาสั่งสมจนเกิดเป็นกระบวนทัศน์และที่สำคัญกว่านั้นคือ สั่งสมประสบการณ์ใหม่ เอามาโต้แย้งความเชื่อหรือค่านิยมเดิม
ทำให้ละจากความเชื่อเดิมหันมายึดถือความเชื่อหรือกระบวนทัศน์ใหม่นั่นคือ เป็นการเรียนรู้
(how to learn, how to unlearn/ delearn, how to relean) ไปพร้อม ๆ กัน
๓. Internal motivation : การเรียนรู้ที่แท้จริงขับดันด้วยฉันทะ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวคนไม่ใช่ขับดันด้วยอำนาจของครูหรือพ่อแม่
เด็กที่เรียนเพราะไม่อยากขัดใจครู หรือพ่อแม่จะเรียนได้ไม่ดีเท่าเด็กที่เรียนเพราะอยากเรียน
๔. Multiple intelligence : เวลานี้เป็นที่เชื่อกันทั่วไปแล้วว่า
มนุษย์เรามีพหุปัญญา และเด็กแต่ละคนมีความถนัดหรือปัญญาที่ติดตัวมาแต่กำเนิดต่างกัน
รวมทั้งสไตล์การเรียนรู้ก็ต่างกัน ดังนั้น
จึงเป็นความท้าทายต่อครูเพื่อศิษย์ในการจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความแตกต่างของเด็กแต่ละคน
และจัดให้การเรียนรู้ส่วนหนึ่งเป็นการเรียนรู้เฉพาะตัว
๕. Social learning : การเรียนรู้เป็นกิจกรรมทางสังคม หากยึดหลักการนี้
ครูเพื่อศิษย์ก็จะสามารถออกแบบกระบวนการทางสังคมเพื่อให้ศิษย์เรียนสนุก และเกิดนิสัยรักการเรียน
เพราะการเรียนจะไม่ใช่กิจกรรมส่วนบุคคลที่หงอยเหงา น่าเบื่อ
ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑
ความเข้าใจบทบาทของการศึกษาในศตวรรษที่
๒๑ ระบุบทบาทของการศึกษา เปรียบเทียบยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม และยุคปัจจุบันที่เรียกว่ายุคความรู้
ไว้ใน ๔ บทบาท ได้แก่
๑. เพื่อการทำงานและเพื่อสังคม
๒. เพื่อฝึกฝนสติปัญญาของตน
๓. เพื่อทำหน้าที่พลเมือง
๔. เพื่อสืบทอดจารีตและคุณค่า
ทักษะครูเพื่อศิษย์ไทยในศตวรรษที่ ๒๑
ครูยึดหลัก “สอนน้อย เรียนมาก” คือ ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของเด็ก การเรียนรู้ในศตวรรษที่
๒๑ ต้อง “ก้าวข้ามสาระวิชา” ไปสู่การเรียนรู้ที่แท้จริง ซึ่งต้องออกแบบการเรียนรู้ และอำนวยความสะดวก (facilitate) ในการเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนรู้จากการเรียนแบบลงมือทำ
แล้วการเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจและสมองของตนเอง การเรียนรู้แบบนี้เรียกว่า PBL (Project-Based Learning)
ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑
สาระวิชาหลัก
• ภาษาแม่ และภาษาโลก
• ศิลปะ
• คณิตศาสตร์
• เศรษฐศาสตร์
• วิทยาศาสตร์
• ภูมิศาสตร์
• ประวัติศาสตร์
• รัฐ และความเป็นพลเมืองดี
หัวข้อสำหรับศตวรรษที่ ๒๑
• ความรู้เกี่ยวกับโลก
• ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ
• ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองดี
• ความรู้ด้านสุขภาพ
• ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม
ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม
• ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม
• การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา
• การสื่อสารและการร่วมมือ
ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี
• ความรู้ด้านสารสนเทศ
• ความรู้เกี่ยวกับสื่อ
• ความรู้ด้านเทคโนโลยี
ทักษะชีวิตและอาชีพ
• ความยืดหยุ่นและปรับตัว
• การริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง
• ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม
• การเป็นผู้สร้างหรือผลิต (productivity) และความรับผิดรับชอบเชื่อถือได้ (accountability)
• ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (responsibility)
นอกจากนั้นโรงเรียนและครูต้องจัดระบบสนับสนุนการเรียนรู้ต่อไปนี้
• มาตรฐานและการประเมินในยุคศตวรรษที่ ๒๑
• หลักสูตรและการเรียนการสอนสำหรับศตวรรษที่ ๒๑
• การพัฒนาครูในศตวรรษที่ ๒๑
• สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเรียนในศตวรรษที่ ๒๑
ศาสตราใหม่สำหรับครูเพื่อศิษย์ 3R x 7C
3R
Reading (อ่านออก)
(W)Riting (เขียนได้)
(A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)
7C
Critical thinking & problem solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
และทักษะในการแก้ปัญหา)
Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม
ต่างกระบวนทัศน์)
Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีม
และภาวะผู้นำ)
Communications, information & media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
พัฒนาสมองห้าด้าน
พลังเชิงทฤษฎี (cognitive mind) ได้แก่
สมองด้านวิชาและวินัย (disciplined mind)
สมองด้านสังเคราะห์ (synthesizing mind)
สมองด้านสร้างสรรค์ (creatingmind)
พลังด้านมนุษย์สัมผัสมนุษย์ ได้แก่
สมองด้านเคารพให้เกียรติ (respectful mind)
สมองด้านจริยธรรม (ethical mind)
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม
มีการเรียนรู้แบบที่เด็กร่วมกันสร้างความรู้เองคือ
เรียนรู้โดย การสร้างความรู้ และเรียนรู้เป็นทีม
ประกอบด้วยทักษะย่อย ๆ ดังต่อไปนี้
๑.การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) และการแก้ปัญหา(problem solving)
หมายถึง การคิดอย่างผู้เชี่ยวชาญ (expert thinking) การเรียนทักษะเหล่านี้ทำโดย
PBL (Project-Based Learning) และต้องเรียนเป็นทีม ไม่ใช่เรียนจากครูสอนในชั้นเรียน
๒. การสื่อสาร (communication) และความร่วมมือ (collaboration)
หมายถึง การสื่อสารอย่างซับซ้อน (complex communicating)
๓. ความริเริ่มสร้างสรรค์ (creativity) และนวัตกรรม (innovation)
หมายถึง การประยุกต์ใช้จินตนาการและการประดิษฐ์
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking)
การคิดอย่างมีวิจารณญาณต้องไม่ใช่เกิดขึ้นแค่ในชั่วโมงเรียน
หรือในชั้นเรียน แต่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จนเป็นนิสัย เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวจึงจะเรียกว่ามีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
การเรียนแบบ PBL ที่ครูเก่งด้านการชวนศิษย์ทบทวนไตร่ตรอง(reflection
หรือ AAR) บทเรียน การตั้งคำถามของครูที่ให้เด็กคิดหาคำตอบที่มีได้หลายคำตอบ
จะทำให้ศิษย์เกิดทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ
ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ทักษะด้านสารสนเทศ (Information Literacy)
ทักษะด้านสื่อ (Media Literacy Skills)
ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT Literacy)
ทักษะด้านความเป็นนานาชาติ
ครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกทักษะด้านความเป็นนานาชาติ (internationalization)
ให้แก่ศิษย์ สามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศ
ให้มีทักษะความเป็นนานาชาติได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีครูชาวต่างประเทศ การฝึกทักษะด้านนี้ทำได้โดยออกแบบการเรียนแบบ PBL (Project-Based Learning)
ทักษะอาชีพและทักษะชีวิต
ทักษะอาชีพและทักษะชีวิตนั้นจะต้องเรียนตามพัฒนาการของสมอง
ครูจะต้องเรียนรู้วิธีการออกแบบการเรียนรู้แบบ PBL ให้แก่ศิษย์ตามพัฒนาการของสมองเด็กแต่ละคน
เพราะทักษะกลุ่มนี้สอนไม่ได้ เด็กต้องเรียนเอง ใช้วิธีชวนกันถอดบทเรียนหลังงานสำเร็จเพื่อช่วยให้การเรียนรู้ลึกซึ้งและกว้างขวางยิ่งขึ้น
ทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม (Social and Cross-Cultural Skills)
หัวใจของทักษะนี้คือ สามารถทำงานและดำรงชีวิตอยู่กับสภาพแวดล้อมและผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลายได้อย่างไม่รู้สึกเครียดหรือแปลกแยก
และทำให้งานสำเร็จได้ เป็นเรื่องของการเรียนรู้และยกระดับ
ความฉลาดด้านสังคม (social intelligence) และความฉลาดด้านอารมณ์
(emotional intelligence)
แนวคิดการเรียนรู้สำหรับครูเพื่อศิษย์
สมดุลใหม่ในการทำหน้าที่ครูเพื่อศิษย์
ในยุคเดิม ครูสอนเด็กเพื่อให้สอบผ่าน แต่เป้าหมายของการเรียนในศตวรรษที่
๒๑ คือปูพื้นฐานความรู้และทักษะเอาไว้สำหรับการมีชีวิตที่ดีในภายหน้าซึ่งจะต้องเป็นงานที่เน้นความรู้เครื่องมือดิจิตัล
วิถีชีวิต ผลการวิจัยด้านการเรียนรู้ และความต้องการทักษะในการดำรงชีวิตสมัยใหม่ ได้แก่
การแก้ปัญหา ความสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรม การสื่อสาร การร่วมมือ ความยืดหยุ่น และอื่น
ๆ พลังเหล่านี้เรียกร้องให้การเรียนรู้ในโรงเรียนต้องให้น้ำหนักซีกขวามากขึ้นเรื่อย
ๆ
สอนน้อย เรียนมาก (Teach Less, Learn More)
เป็นอุดมการณ์ด้านการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ คือ ครูสอนน้อยลง
แต่หันไปทำหน้าที่ออกแบบการเรียนรู้
แนวคิดนี้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ
“วิสัยทัศน์๔” ของสิงคโปร์ ได้แก่
๑. วิสัยทัศน์ระดับประเทศ
๒. วิสัยทัศน์ด้านการศึกษา
๓. วิสัยทัศน์ด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียน
๔. วิสัยทัศน์ในการจัดให้มี
PLC - professional learning communities เป็นเครื่องมือปฏิรูปการศึกษา
PLC - professional learning communities คือ กระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงโดย
CoP : Community of Practice ของครู และครูออกแบบกิจกรรมให้เด็กเรียนจากกิจกรรม
PBL : Project-Based Learning แล้วให้ทบทวนไตร่ตรอง
(reflection หรือ AAR ) ว่า ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ครูจะเข้าใจอัตราความเร็วของการเรียนรู้ของเด็กที่หัวไวไม่เท่ากัน และที่สำคัญยิ่งคือ
ให้เด็กบอกว่าอยากเรียนรู้อะไรบ้าง เพื่อให้ครูนำมาออกแบบการเรียนรู้ต่อ
การเรียนรู้อย่างมีพลัง
Define คือ ขั้นตอนการทำให้สมาชิก มีความเข้าใจร่วมกัน
Plan คือ การวางแผนการทำงานในโครงการ รวมทั้งเตรียมเครื่องอำนวยความสะดวกให้
Do คือ การลงมือทำ
Review การที่จะต้องเน้นทบทวนว่างานหรือกิจกรรม หรือพฤติกรรมแต่ละขั้นมาทำความเข้าใจ
และกำหนดวิธีทำงานใหม่ที่ถูกต้องเหมาะสมมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ขั้นตอนนี้เป็นการเรียนรู้แบบทบทวนไตร่ตรอง
(reflection) หรือในภาษา KM เรียกว่า
AAR (After Action Review)
นอกจากนั้นแล้วครูผู้สอนจำเป็นต้องให้นักเรียนได้เรียนแบบ PBL(Project-Based Learning) เพราะมีผลให้เกิดการเรียนรู้ในมิติที่ลึก
เด็กเกิดแรงจูงใจ(motivation) ในการเรียน และจดจ่ออยู่กับการเรียนที่เรียกว่า
student engagement จะได้ผลดีเมื่อแบ่งได้ดังนี้
๑. การเรียนรู้กลุ่มย่อยแบบร่วมมือกัน (Collaborative Small-Group Learning)
๒. การเรียนรู้แบบใช้โครงการ (Project Learning Methods)
๓. การเรียนแบบโครงการมีกระบวนการเรียนรู้ที่ซับซ้อนหลากหลายมิติและอาจมีความสับสนอยู่ด้วย
๔. การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานคิด (Problem-Based Learning)
๕. การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานคิด เป็นรูปแบบหนึ่งของ PBLที่เน้นโครงการที่ดำเนินการแก้ปัญหาที่ยากและซับซ้อนจากกรณีที่เป็นเรื่องจริง
จิตวิทยาการเรียนรู้สำหรับครูเพื่อศิษย์
สมดุลระหว่างความง่ายกับความยาก
เขียนโดยศาสตราจารย์ดาเนียล ที วิลลิงแฮม (Daniel T. Willingham) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการเรียนรู้แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย
ได้แย้งจากคำกล่าวของไอสไตล์ ว่า “ความรู้มีความสำคัญต่อความคิด”
และยังได้กล่าวโดยสรุปอีกว่า
๑.ความจริงเกี่ยวกับการคิด ๓ ประการ ที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อเดิม ได้แก่
๑.๑ การคิดทำได้ช้า
๑.๒ การคิดนั้นยาก ต้องใช้ความพยายามมาก
๑.๓ ผลของการคิดนั้นไม่แน่ว่าจะถูกต้อง
และในสมัยปัจจุบันครูจะต้องเป็นนักออกแบบโจทย์การเรียนรู้
ให้ศิษย์ฝึกคิดจากง่ายไปหายาก ให้ศิษย์ได้มีความสุข ความพึงพอใจ จากการทำโจทย์สำเร็จทำบ่อย
ๆ จนเป็นนิสัยของการเป็นคนช่างคิด หรือคิดเป็น คิดอย่างมีวิจารณญาณ แล้วค่อย ๆ พัฒนาทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่
๒๑ ที่จะต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิตเรียนรู้โดยการรวมตัวกันในกลุ่มครูเพื่อศิษย์ในโรงเรียนเดียวกัน
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ วิธีการและประสบการณ์
๒. ครูเพื่อศิษย์ต้องทำความรู้จักสมองและกลไกการทำงานของสมอง
จึงจะฝึกออกแบบการเรียนรู้ของศิษย์ได้สนุก และสนุกกับการเรียนรู้เพื่อการเป็นครูเพื่อศิษย์อย่างแท้จริง
๓. ความเข้าใจคือความจำจำแลง สู่การฝึกตนฝนปัญญา
ความเข้าใจนั้นเกิดจากการเอาความรู้เดิมมาใช้แก้ปัญหา
หรือประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่
(knowledge transfer) แล้วเกิดความรู้ใหม่หรือขยายความรู้เดิม ระดับความเข้าใจซึ่งจะเป็นระดับตื้นหากโครงสร้าง
ความคิดเป็นแบบผิวเผิน (surface structure) แต่ระดับความเข้าใจจะเป็นระดับลึก
หากโครงสร้างความคิดเป็นแบบลึก (deep structure) คือ คิดในระดับความหมาย
(meaning)
๔. ฝึกฝนจนเหมือนตัวจริง
ผู้เชี่ยวชาญมีความรู้มาก แต่การมีความรู้มากอาจไม่ทำให้เชี่ยวชาญกลับทำให้สับสน
ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง นอกจากมีความรู้มากแล้วยังมีความสามารถพิเศษในการดึงเอาความรู้ที่ถูกต้อง
มาใช้ตรงตามสถานการณ์
๕.สอนให้เหมาะต่อความแตกต่างของศิษย์ มี ๓ แนว ได้แก่
๕.๑ ความสามารถทั่วไปในการเรียนรู้ อาจเรียกว่าเด็กฉลาด เด็กหัวไวเด็กหัวช้า
๕.๒ รูปแบบการเรียน ตามทฤษฎีมีผู้เรียนแบบเน้นจักษุประสาทแบบเน้นโสตประสาท และแบบเน้นการเคลื่อนไหว (Visual, Auditory, andKinesthetic Learners
Theory)
๕.๓ ความฉลาด ๘ ด้าน ตามทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple
Intelligences)
ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences)
ของ ศ.
โฮวาร์ด การ์ดเนอร์( Prof. Howard Gardner)
กล่าวถึงความถนัด
๘ ด้าน
๑ความฉลาด (Intelligence) ภาษา ความคล่องแคล่วด้านถ้อยคำและภาษาทนายความนักประพันธ์
๒.ตรรกะ - คณิตศาสตร์ความคล่องแคล่วด้านตรรกะ
การใช้เหตุผลเชิง (inductive) ความคล่องแคล่วด้านตัวเลขนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นักวิทยาศาสตร์
๓.การเคลื่อนไหวร่างกาย ความคล่องแคล่วด้านการเคลื่อนไหวร่างกายเช่น
ในการกีฬา การเต้นหรือฟ้อนรำนักกีฬา นักเต้นรำนักแสดงท่าใบ้ (mime)
๔.ทักษะสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
(interpersonal) ความคล่องแคล่วในการเข้าใจผู้อื่น ด้านอารมณ์ ความต้องการ
และความคิดเห็นนักการตลาดนักการเมือง
๕.ทักษะด้านในของตน (intrapersonal)
ความเข้าใจตนเองด้านอารมณ์ และแรงจูงใจนักเขียนนวนิยาย
๖.ทักษะดนตรี ทักษะในการแต่ง เล่นและชื่นชมดนตรีนักดนตรี
นักแต่งเพลง
๗.ธรรมชาติวิทยา ความฉลาดในการแยกแยะและจัดกลุ่มพืชและสัตว์นักธรรมชาติวิทยา
เชฟ Spatial
๘.ความฉลาดในการใช้และจัดที่ว่าง
(space) สถาปนิก ประติมากรจากทฤษฎีดังกล่าว นำไปสู่การตีความเชิงประยุกต์
๓ ข้อ ได้แก่
๑. รายการตามตารางเป็นความฉลาด (intelligence) ไม่ใช่ความสามารถ (ability) ไม่ใช่ความถนัด
(talent)
๒. โรงเรียนควรสอนความฉลาดให้ครบทั้ง ๘ ด้าน
๓. เมื่อสอนความรู้ใหม่ ควรใช้ทุกความฉลาด เป็นท่อต่อการเรียนรู้
เพื่อให้บรรลุผลอย่างสูงสุด
๖. ให้ชื่นชมพรแสวงมากกว่าพรสวรรค์
บันเทิงชีวิตครู สู่ชุมชนการเรียนรู้
กำเนิดและอานิสงส์ของ
PLC
ริชาร์ด
ดูฟูร์ (Richard Du Four) เป็น “บิดาของ
PLC” เขาเริ่มทำงานวิจัยพัฒนาและส่งเสริม PLC มา ตั้งแต่ คศ. 1998 คือ พ.ศ. 2541
PLC คือ กระบวนการต่อเนื่องที่ครูและนักการศึกษาทำงานร่วมกัน
ในวงจรของการร่วมกันตั้งคำถาม
และการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อบรรลุ
ผลการเรียนรู้ที่ดีขึ้นของนักเรียน โดยมีความเชื่อว่า หัวใจของการพัฒนา
การเรียนรู้ของนักเรียนให้ดีขึ้น
อยู่ที่การเรียนรู้ที่ฝังอยู่ในการทำงานของครู และนักการศึกษา
ความมุ่งมั่นที่ชัดเจนและทรงคุณค่า
PLC
จะเปลี่ยนบรรยากาศของ “โรงเรียน”
เพราะจะไมเ่ป็น “โรงเรียน” ตามแนวทางเดิมอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น PLC ที่สมาชิกร่วมกันเป็น
เจ้าของอย่างเท่าเทียมกัน และสิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดที่ทุกคนเป็นเจ้าของ
ร่วมกันคือ “ความมุ่งมั่นที่ชัดและทรงคุณค่า” ว่า ทุกคนต้องการช่วยกัน ยกระดับคุณภาพของการเรียนรู้ของศิษย์
โรงเรียนกลายเป็น PLC และ
PLC คือ
องค์กร เคออร์ดิค (Chaordic Organization) ที่มี “ความมุ่งมั่นชัดเจนและทรงพลัง”
ความหมายของ องค์กร เคออร์ดิค คือ สมาชิกขององค์กรหรือกลุ่ม
มีเป้าหมายระดับความมุ่งมั่น (purpose) ชัดเจนร่วมกัน
แต่วิธีบรรลุความ
มุ่งมั่นนั้นทุกคนมีอิสระที่จะใช้ความสร้างสรรค์ของตนที่จะปรึกษากันแล้ว
เอาไปทดลอง เพื่อหาแนวทางทำงานใหม่ ๆ ที่ให้ผลดีกว่าเดิมมุ่งเป้าหมายที่การเรียนรู้
(ไม่ใช่การสอน)
จุดที่สำคัญคือ
การที่ครูร่วมกันเป็นทีม เอาใจใส่การประเมินการ เรียนรู้ของนักเรียน
จะเป็นการสร้างวัฒนธรรมที่เน้นการเรียนรู้ (learning) ไปในตัว
ซึ่งจะเปลี่ยนจากวัฒนธรรมที่เน้นการสอน (teaching) ที่เราคุ้นเคย
เมื่อนักเรียนบางคนเรียนไม่ทันระบบช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนอ่อนนี้มีลักษณะเป็นไปตามตัวย่อว่า
SPEED ซึ่งได้แก่
Systematic (ทำเป็นระบบ) หมายถึง
มีการดำเนินการเป็นระบบทั้ง โรงเรียน ไม่ใช่เป็นภาระของครูประจำชั้นแต่ละคน
และมีการสื่อสารเป็น ลายลักษณ์อักษร (ใคร ทำไม อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร) ไปยังทุกคน
ได้แก่ ครู (ทีมของโรงเรียน) พ่อแม่ และนักเรียน
Practical (ทำอย่างเหมาะสม)
การดำเนินการช่วยเหลือเป็นไปได้ ตามทรัพยากรที่มีอยู่ของโรงเรียน
(เวลา พื้นที่ ครู และวัสดุ) และดำเนิน การได้ต่อเนื่องยั่งยืน
Effective (ทำอย่างได้ผล)
ระบบช่วยเหลือต้องใช้ได้ผลตั้งแต่เริ่ม เปิดเทอม มีเกณฑ์เริ่มเข้าระบบและออกจากระบบที่ยืดหยุ่นเพื่อให้เหมาะสม
สำหรับช่วยเหลือนักเรียนที่แตกต่างกัน และเพื่อสร้างการเรียนรู้ที่ได้ผลดีแก่นักเรียนทุกคน
Essential (ทำส่วนที่จำเป็น)
ระบบช่วยเหลือต้องทำแบบมุ่งเน้นที่
ประเด็นเรียนรู้สำคัญตามผลลัพธ์ของการเรียนรู้ (Learning Outcome) ที่ กำหนดโดยการทดสอบทั้งแบบประเมินเพื่อพัฒนา (formative
assessment) และ แบบประเมินได้-ตก (summative assessment)
Directive (ทำแบบบังคับ)
ระบบช่วยเหลือต้องเป็นการบังคับ ไม่ใช่ เปิดให้นักเรียนสมัครใจ
ต้องดำเนินการในเวลาเรียนตามปกติ ครูหรือ
พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ขอยกเว้นให้แก่นักเรียนคนใด
เรื่องเล่าตามบริบท : จับความจากยอดครูมาฝากครูเพื่อศิษย์
“การ “รู้จักเด็ก” สำคัญที่สุดเพราะถ้าเราไม่รู้จักเขาเราจะแก้ข้อติดขัดในการเรียนรู้ของเขาไม่ได้”
๑.หลักการสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ครูเพื่อศิษย์ต้องยึดถือ
คือ สอนเด็กมากกว่าสอนวิชา และในการสอนวิชานั้นพึงตระหนักว่า มีเป้าหมาย เพื่อคุณค่าหรือการใช้ในการดำรงชีวิตของศิษย์
๒.ให้ได้ความไว้วางใจจากศิษย์
๓.สอนศิษย์กับสอนหลักสูตรแตกต่างกัน
๔.ถ้อยคำที่ก้องอยู่ในหูเด็ก
หมายความว่า อย่าคิดว่าคำพูดที่ครูพูดแบบไม่ตั้งใจจะเป็นเรื่องเล็กสำหรับศิษย์
๕.เตรียมตัว เตรียมตัว และเตรียมตัว
เตรียมตัวล่วงหน้าก่อนเปิดเทอม ๒ - ๓ สัปดาห์ เพื่อให้ตนเองพร้อมที่สุดกับการจัดการชั้นเรียนเตรียมห้องเรียน
แบ่ง เป็น ๔ S ดังนี้
Sensory Details รายละเอียดที่มีผลต่อการรับรู้
Seating Arrangement การจัดที่นั่งเรียงโต๊ะนักเรียน
การจัดโต๊ะโดยมีหลักการสำคัญคือ ให้เกิดความสะดวกต่อการเรียนของเด็ก
Supplies and Storages วัสดุ อุปกรณ์ช่วยเรียนและที่เก็บของ
Student Information ข้อมูล ข่าวสาร
สำหรับนักเรียน ครูต้องสื่อสารกับนักเรียนอยู่เสมอ
๖.จัดเอกสารและเตรียมตนเอง
๗.ทำสัปดาห์แรกให้เป็นสัปดาห์แห่งความประทับใจ
๘.เตรียมพร้อมรับ “การทดสอบครู”และสร้างความพึงใจแก่ศิษย์
๙.วินัยไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ
มี
๒ ด้าน คือ วินัยเชิงบวกกับวินัยเชิงลบ
๑๐.สร้างนิสัยรักเรียน
๑๑.การอ่าน สร้างนิสัยให้เด็กรักการอ่าน
๑๒.ศิราณีตอบปัญหาครูและนักเรียน : ครูยืนหยัดที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะจัดการชั้นเรียนอย่างไร ไม่ใช่โลเลไปตามแรงผลักดันของเด็ก
เรื่องเล่าโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
ครูของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนามีทักษะด้านการทดสอบนักเรียนที่ล้ำลึกมาก
ครูเน้นชักชวนให้เด็กคิดและแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ นานาและคอยสังเกตเด็กว่ามีการเรียนรู้ก้าวหน้าไปอย่างไรสำหรับนำมาใช้ปรับบทบาทของครูเองและสำหรับนำมา เป็นต้น
มองอนาคต...ปฏิรูปการศึกษาไทย
“การปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อเตรียมมนุษย์ในศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเปลี่ยนเป้าหมายของการเรียนรู้จากเน้นเพียงให้รู้วิชา
เป็นรู้วิชาและมีการพัฒนาทักษะที่ซับซ้อน ที่เรียกว่า
ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ควบคู่กัน”
๑.เรียนรู้จาก Malcolm Gladwell การเห็นคุณค่าและเคารพความแตกต่างหลากหลายของผู้คน
๒. Inquiry-Based Learning IBL (Inquiry-Based Learning)
เป็นการเรียนโดยให้ผู้เรียนตั้งคำถาม ทำความชัดเจนของคำถาม แล้วดำเนินการหาคำตอบเอาเองเป็นการเรียนแบบที่เรียกว่า Open Learning คือ ไม่มีคำถามและคำตอบตายตัว
เป็นรูปแบบการเรียนที่ผู้เรียนได้ฝึกฝนความริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการ
๓.ทักษะการจัดสอบ หลักการคือ สอบบ่อย ๆ ใช้เวลาไม่มาก ข้อสอบไม่กี่ข้อ
และให้ศิษย์รู้คำตอบทันทีหรือเกือบทันที ให้มีทั้งที่คิดคะแนนสะสม และไม่คิดคะแนนมีการสอบที่ข้อสอบเน้นความคิด
ไม่มีคำตอบถูกผิด อยู่ด้วย ทั้งหมดนั้นเพื่อสะท้อนให้ศิษย์รู้ว่าตนรู้และไม่รู้อะไรบ้าง
ให้มีความมั่นใจตนเอง และหมั่นปรับปรุงตนเองต้องเปลี่ยนการสอบให้เป็นการวัดการเรียนรู้ที่แท้จริงของศิษย์
เพื่อประโยชน์ของศิษย์
๔. PLC สู่ TTLC
PLC ย่อมาจาก Professional Learning Community) ซึ่งก็หมายถึงชุมชนนักปฏิบัติวิชาชีพครู
TTLC (Thailand Teacher Learning Community) ในภาคไทยคือ
ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์โดยเราต้องแปลงยุทธศาสตร์การดำเนินการให้เข้ากับบริบทไทย